Road Trip 8 Days, 4 states in the USA โรดทริป 8 วัน กับ 4 รัฐ ในอเมริกา
- Theda Chan
- 26 พ.ค. 2562
- ยาว 4 นาที
อัปเดตเมื่อ 1 มิ.ย. 2562

สวัสดีเพื่อนๆที่น่ารักทุกคนนะคะ วันนี้เว็ปไซต์ ธีด้าพาเที่ยว " ThedaTRaveling " จะมารีวิวเที่ยวอเมริกาแบบ Road Trip ครั้งแรกของธีด้าค่ะ ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่าธีด้าเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามาก่อน ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ธีด้ากล้าก้าวออกจาก Comfortable zone ออกไปเที่ยวเป็นเวลาถึง 7 คืน 8 วัน กับ 4 รัฐใหญ่อย่าง Colorado, Utah, Arizona, และ Wyoming.

ธีด้าใช้ Google map ช่วยพอยท์สถานที่ที่อยากจะไป เป็นการแพลนทริปที่ใช้เวลาพอสมควร มีการปรับเปลี่ยนสถานที่เล็กน้อยตามสถานการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเวลา เพราะช่วงเวลาที่เดินทางคือกลางเดือนตุลาคม ปี 2017 ที่อเมริกาเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ทำให้ท้องฟ้าค่อนข้างจะมืดเร็วกว่าปกติมาก

วันที่ 8 ตุลาคม 2017 ที่เมือง Westminster, Colorodo ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีและแดงได้ที่เลยค่ะ ช่วงนี้อากาศจะค่อนข้างเย็นในช่วงเช้า จนใกล้เที่ยงจะกลับมาร้อนจนแสบผิวเหมือนเดิม และที่สำคัญคือใบไม้พวกนี้ร่วงเร็วมาก ใช้เวลาแค่ประมาณอาทิตย์เดียวใบไม้ก็ร่วงเหลือแต่กิ่งก้านทั้งต้นแล้ว

ก่อนจะออกเดินทาง ธีด้าขอแนะนำแอพลิเคชั่นที่ธีด้าใช้ นอกจาก Google Map แล้วธีด้าใช้
Foursquare หาร้านอาหาร
Booking.com หาที่พัก
TripAdvisor หาที่เที่ยว
MyCurrency เอาไว้ดูว่าเราใช้จ่ายไปเท่าไหร่แล้ว( คิดเป็นเงินบาท )
Expedia และ Orbits ในการหารถเช่าขับไปเที่ยว

เอกสารที่ต้องใช้ในการเช่ารถที่อเมริกามี พาสปอร์ต ใบขับขี่สากลหรือใบขับขี่ของอเมริกา หากใช้ใบขับขี่สากล จะต้องมีใบขับขี่ของเมืองไทยแนบพร้อมกับใบขับขี่สากลไปด้วย และสุดท้ายบัตรเครดิตหากผู้เช่ามีอายุน้อยกว่า 25 ปี ตอนนั้นธีด้าอายุแค่ 21 เพราะฉะนั้นหน้าที่เช่ารถจึงเป็นของพี่ๆที่ไปเที่ยวด้วยกัน
ราคารถเช่าต่อวัน ขึ้นอยู่กับรัฐที่เราอยู่และโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆ ตัวอย่างเช่นถ้าเช่ารถที่รัฐ Colorado ราคาจะถูกกว่าเช่ารถที่รัฐ Florida มาก เพราะค่าครองชีพค่อนข้างต่างกัน ตอนนั้นธีด้าเช่ารถ 8 วัน หมดไปคนล่ะเกือบ $300 ค่ะ ( ค่าเช่ารถ ค่าภาษี ค่าน้ำมัน ค่าประกันอุบัติเหตุรถ)
คำเตือน
1.) รถที่อเมริกาพวงมาลัยอยู่ฝั่งซ้ายนะคะ แนะนำให้ศึกษากฎจราจรกันดีดีก่อนมาขับจริง เพราะพ่อ(ตำรวจ) ที่นี่ขับรถตามตูดเราเร็วมาก เช่นพวกป้าย Stop ป้าย Speed limit หรือทางม้าลาย สำคัญมากค่ะ ค่าปรับที่นี่อย่างน้อยก็ $200 ต่อครั้ง โดนจับทีล้มละลายนะคะ
2.) ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงมาก ถ้าเป็นไปได้ ทำประกันมากันนะคะ อุบัติเหตุไม่เข้าใครออกใคร
3.) การเติมน้ำมันที่นี่เป็นปั๊มแบบเติมเองนะคะ ถ้ามีบัตรเดบิตหรือเครดิตให้เสียบตู้จ่ายน้ำมันเลย แต่ถ้าใช้ Cash ให้เดินเข้าไปในมินิมาร์ทของปั๊ม บอกพนักงานไปว่า Station ไหน ถ้าต้องการให้เค้าสอนก็บอกเค้าเลยนะคะ และห้องน้ำที่ปั๊มไม่สะอาดสะอ้านเหมือนเมืองไทยเด้อ

ระหว่างทางตลอดการเดินทางจะมีจุดชมวิว ( View point ) และ จุดพักรถ ( Rest Area ) เป็นระยะค่ะ ถ้าช่วงไหนธีด้าเป็นคนขับรถ เห็นจุดไหนสวยน่าสนใจจะแวะเข้าจอดข้างทางตลอด รูปนี้ก็แวะถ่ายข้างทางเหมือนกันค่ะ :)

สถานที่แรกที่เรามาเที่ยวกันคือ Red Rocks ซึ่งเป็นอัฒจันทร์กลางแจ้ง กลางภูเขาหินสีแดง ที่นี่เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ใหญ่มาก จุคนได้ถึง 9,525 คน และมีการจัดคอนเสิร์ตกลางแจ้งเรื่อยๆค่ะ
Naturally formed, open air Amphitheater consists of two, three-hundred-foot monoliths serving as a "stage" for musical performances.


คนที่นี่ขยันนำธรรมชาติมาอยู่ร่วมกันกับยุคสมัยใหม่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นอะไรที่มันทำให้เรารู้สึกทึ่งได้อยู่เรื่อยๆ เช่นที่ Red Rocks ใครจะคิดว่าเค้าจะมาสร้างเวทีจัดคอนเสิร์ตไว้บนภูเขาหินที่ทั้งอยู่สูงและห่างไกลเมืองแบบนี้

ออกจาก Red Rocks ธีด้าและเพื่อนก็ขับรถต่อประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อมาหยุดแวะพักที่เมืองแห่งรีสอร์ทและบ่อน้ำพุร้อนอย่างเมือง Glenwood Springs, Colorado ...ธีด้าจองที่พักผ่านแอพพลิเคชั่น Booking.com ราคาที่พักที่ Starlight Lodge คือประมาณ $70 ต่อห้อง ไม่รวม Tax (มีเกรดห้องที่ราคาแพงกว่านี้) ห้องพักที่นี่มี 2 เตียง 1 ห้องน้ำ 1 ตู้เย็น 1 ไมโครเวฟ

Spa of the Rockies เป็นสระน้ำพุร้อนขนาดใหญ่กลางเมือง Glenwood Springs เดินจากที่พักมาแค่ประมาณ 5 นาที เปิดทุกวัน เวลา 9 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ยกเว้นวัน Thanksgiving และ Christmas ผู้ใหญ่( อายุ 13+) ราคา $27 เด็ก( อายุ 3-12 ) ราคา $17 เด็กเล็กกว่านั้นเข้าฟรีค่ะ

อากาศตอนใกล้ค่ำมีอุณหภูมิต่ำลงอย่างรวดเร็วและลมพัดแรง ด้วยความที่ว่าเรามาในช่วง Fall Season มองไปทางไหนก็สวยไปหมด ต้นไม้ถูกประดับไฟอย่างสวยงาม สรุปคือเมืองนี้สวยและน่าอยู่มากกกก
DAY 2

วันที่ 2 ธีด้าและเพื่อนตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพราะอยากจะไปเที่ยวที่ Maroon Bells( ตามรูป ) ขับรถชั่วโมงกว่าจากเมือง Glenwood Springs ถนนมาที่เมือง Aspen ค่อนข้างอันตรายนะคะ ขอให้ขับรถกันระมัดระวัง ...ก่อนไปถึงก็คาดหวังเต็มที่ว่าจะได้เจอใบไม้เปลี่ยนสีเต็มไปทั้ง Maroon Bells ตามรูปล่างซ้าย แต่ของจริงกลับไม่ใช่ - -

อาจเป็นเพราะว่า Maroon Bells มีที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ค่อนข้างลึก ทำให้ตั้งแต่เริ่มเข้าเขต Maroon Bells มาอุณหภูมิลดลงเหลือเกือบศูนย์องศา และที่สำคัญคือ Maroon Bells มีหิมะแล้ว!!! ธีด้าและเพื่อนเลยอดเห็นต้นไม้เปลี่ยนสีกันเพราะมันคงร่วงหมดตั้งแต่ก่อนหิมะจะตกแล้ว
ส่วนในตัวเมือง... ธีด้าไม่ค่อยได้ถ่ายรูปไว้เพราะเดินเหนื่อยหมดอารมณ์ถ่าย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เมือง Aspen สวยกว่าเมือง Glenwood Springs มากกกกก และเราก็เลือกทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารอเมริกันในเมืองนี้ด้วยเช่นกันค่ะ

เมือง Aspen โดยปกติแล้วเป็นเมืองสกีรีสอร์ท หน้าหนาวหิมะจะปกคลุมทั้งเมือง รูปนี้ธีด้าถ่ายที่ Aspen ช่วงต้นเดือนมกราคม 2018 อุณหภมิ -9 องศาเซลเซียส ตอนแรกคุยกับเพื่อนว่าจะไปฝึกเล่นสกี ไม่ไหวจริงๆค่ะ หนาวจนขาแข็ง 5555

เราออกจากเมือง Aspen กลับมาที่เมือง Glenwood Springs อีกครั้งเพื่อกลับมาเที่ยวที่ Glenwood cavern adventure park ซึ่งเป็นสวนสนุกบนภูเขาเหนือเมือง Glenwood Springs ตั๋วเข้าสวนสนุกมีทั้งหมด 3 ราคา
- ตั๋วสำหรับผ่านแค่เข้าไปสวนสนุก(ไม่เล่นเครื่องเล่น) ผู้ใหญ่ $19 เด็ก( อายุ 3-12 )$14
- ตั๋วสำหรับผ่านแค่เข้าไปสวนสนุกและทัวร์ถ้ำ(ไม่เล่นเครื่องเล่น) ผู้ใหญ่ $32 เด็ก( อายุ 3-12 ) $27
- ตั๋วสำหรับผ่านแค่เข้าไปสวนสนุก, ทัวร์ถ้ำ และ เล่นเครื่องเล่น ผู้ใหญ่ $58 เด็ก( อายุ 3-12 ) $53
Glenwood Caverns Adventure Park is an adventure park located above Glenwood Springs, Colorado

และไม่ต้องเดาให้ยากเลยค่ะ สาย Adventure แบบธีด้าซื้อตั๋วราคา $58 เหรียญอยู่แล้ว ...วิธีขึ้นไปที่สวนสนุกคือต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปเท่านั้น ธีด้าและเพื่อนเล่นเครื่องเล่นเกือบทุกอย่างที่มี และที่เล่นบ่อยสุดเพราะชอบมากคือ Thrill Rides (เครื่องเล่นสีเหลืองในรูป) เล่นไป 3 รอบถ้วน >.<

เครื่องเล่นที่หน้ากลัวที่สุดคือไอนี่เลยค่ะ มันชื่อว่า New Scenic Gondola ที่มันน่ากลัวเพราะตอนมันเหวี่ยง มันเหวี่ยงออกไปนอกหน้าผา ระหว่างเล่นธีด้าเกือบเป็นลมบนนั้นเลยล่ะ 55555

เราออกจากสวนสนุกกันตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง เดินทางต่อมาที่เมือง Grand Junction, Colorado ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง มาถึงนี่ก็กำลังมืดพอดี เราจองที่พักผ่านแอพลิเคชั่น Booking.com กันเหมือนเดิมค่ะ ได้ที่พักราคา $60 ไม่รวม Tax ที่ Masa Inn Grand Junction อย่างที่เห็นในรูปนะคะ ที่พักที่อเมิกาแม้จะเป็นโรงแรมราคาถูกแต่คุณภาพไม่ได้น้อยเลย เย็นวันนี้เราเลือกฝากท้องที่ McDonald ใกล้ๆที่พักค่ะ
DAY 3

วันที่ 3 เราออกเดินทางกันสายหน่อย เพราะเมื่อวานเราเหนื่อยกันมาก (เครื่องเล่นในสวนสนุกสูบพลัง) เดินทางออกจากเมือง Grand Junction รัฐ Colorado มุ่งหน้าไปที่ Arches National Park รัฐ Utah ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทาง

มาถึงหน้าทางเข้าก็ต้องช็อคกับจำนวนรถยนต์ที่ติดยาวเหยียดหน้าทางเข้า เรามาถึงประมาณ 11 โมงกว่า แต่กว่าจะได้ไปถึงจุดจ่ายค่าเข้าอุทยานก็เที่ยงกว่าแล้วค่ะ
Arches National Park หรืออุทยานแห่งชาติสะพานหินโค้ง เขตอุทยานมีเนื้อที่กว่า 300 ตารางกิโลเมตร หรือ 187,500 ไร่ มีสะพานหินโค้งมากกว่า 200 แห่ง มีหนึ่งแห่งที่มีความยาวถึง 89 เมตร สูง 30 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสะพานโค้งหินที่ยาวที่สุดในโลกซึ่งมีความสูงเท่ากับตึก 7 ชั้น

ด้วยความที่ว่าอุทยานนี่มันใหญ่มาก แนะนำให้เตรียมน้ำไปด้วยสักขวดนะคะ เพราะมันเหนื่อยมากกกก กว่าจะเดินไปถึงจุดที่สามารถมองเห็นสะพานหินโค้ง
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติจะแบ่งออกเป็น 3 แบบนะคะ
1.) บัตรผ่านรายปีราคา $80
2.) บัตรผ่านรายครั้ง สำหรับเดินหรือปั่นจักรยานเข้าราคา $10, สำหรับรถจักรยานยนต์ราคา $15 และรถยนต์ราคา $25 บัตรนี้ใช้ได้ภายใน 7 วันหลังออกบัตร
เปิดทุกวันเวลา 8:00 - 18:00 น. อาจมีบางฤดูกาลที่ปิดเร็วกว่านี้ ทั้งปีปิดวันเดียวคือวันคริสต์มาสค่ะ

ย้ายจากอุทยานแห่งชาติสะพานโค้งหินหรือ Arches National Park รัฐ Utah ขับรถต่อเนื่อง 4 ชั่วโทงครึ่งก็มาถึงที่หมายต่อไปของเรา นั้นก็คือ Horseshoe Bend เมือง Page รัฐ Arizona

เมือง Page เป็นเมืองเล็กๆที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองต้นน้ำของ "Grand Canyon" มีจุดชมวิวที่เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายให้มาชื่ชนความงามของธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ ที่นี่ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมนะคะ

ความสวยของที่นี่ถ้าให้เป็นคะแนน ธีด้าให้ 10 เต็ม 10 ไปเลยค่ะ! ที่ Arches National Park ว่าใหญ่และสวยมากแล้ว สำหรับธีด้า Horseshoe Band มาเหนือกว่ามากค่ะ ความใหญ่ของนี่นี่ ขนาดที่ว่าทำให้เรามองเห็นเรือลำใหญ่ยักษ์เป็นเรือลำเล็กจิ๋วทันทีที่ต้องมาลอยลำอยู่ใน Horseshoe Band แห่งนี้

หมดไปแล้วอีกวันค่ะ ก่อนเข้าที่พักเราแวะไปที่ Walmart ซึ่งก็คือ Super Market ของอเมริกาที่เหมือนกับ Lotus หรือ Big C บ้านเรา เราแวะซื้อขนมและน้ำตุนใส่รถไว้ รวมถึงฝากท้องมือเย็นกับอาหารที่ Walmart นี้ด้วยเช่นกันค่ะ
ส่วนที่พักของเราวันนี้เราพักฟรีค่ะ พี่บลู(สวมหมวกสีแดง) หาที่พักฟรีได้จากเว็บไซต์ Couchsufing ทำให้วันนี้เราประหยัดค่าที่พักได้คืนนึงเลย :)
DAY 4

แป๊บๆ วันที่ 4 แล้วค่ะ เช้านี้ธีด้าและเพื่อนออกจากที่พักตอนประมาณ 7 โมงเช้า ออกเช้าหน่อยเพราะเราได้จองทัวร์เที่ยว Antelope Canyon Upper ไว้เวลา 9 โมงเช้า
เรายังคงอยู่กันในเมือง Page รัฐ Arizona นะคะ Antelope Canyon แบ่งออกเป็นสองที่คือ Antelope Canyon Upper และ Antelope Canyon Lower สองที่ให้บรรยากาศท่องเที่ยวที่ใกล้เคียงกัน ที่ต่างกันคือที่จอดรถค่ะ Lower จะจอดไกลทางเข้ากว่า Upper และต่างกันอีกอย่างคือทางเข้าถ้ำ

ที่ Antelope Canyon ไม่อนุญาติให้ขับเข้าไปเที่ยวกันเองนะคะ เพราะทางเข้าไปไม่ได้มีถนนเข้าแบบปกติ แต่เราจะต้องขับรถฝ่าทะเลทรายเข้าไปซึ่งใครเคยลองขับรถเหยียบทรายจะรู้ว่าอันตรายมาก และมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่อยู่ข้างทาง ธีด้าเห็นเหมือนมีกระทิงด้วยแต่ไม่แน่ใจว่าใช่มั้ย

ดังนั้นที่นี่จึงมีทัวร์ให้นักท่องเที่ยวซื้อในราคาประมาณ $80 ต่อคน(ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาและฤดูกาล) เวลาทัวร์ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อรอบนะคะ

รูปซ้ายคือรูปทางเข้าถ้ำค่ะ รูปขวาอยู่ในถ้ำ เป็นจุดที่อยู่ดีดีก็มีแสงให้ได้ถ่ายรูป ซึ่งเอาจริงๆธรรมชาติของถ้ำก็คือความเย็นและความมืด

ข้างในนั้นแน่นอนว่าหนาวมาก และมืดสุดๆ ตามไกด์ให้ทันนะคะ เพราข้างในถ้ำนั้นไม่ได้มีแค่กรุ๊ปทัวร์ของเรา แต่ยังมีกรุ๊ปอื่นๆข้างในด้วย อาจมีเดินสวนกันทางแคบๆในที่มืด เพราะฉะนั้นอย่ามัวถ่ายรูปเพลินจะลืมตามไกด์ตัวเองนะคะ

เสร็จทัวร์จากที่ Antelope Canyon ก็ขับรถต่อมาที่ Grand Canyon National Park เรายังคงอยู่กันที่รัฐ Arizona เหมือนเดิมนะคะ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิดๆก็มาถึงหน้าทางเข้าอุทยาน

แน่นอนว่าจะเข้าอุทยานแห่งชาติได้ก็ต้องมีเสียทรัพย์สินกันเล็กน้อย
ค่าบัตรผ่านรายครั้งราคา รถยนต์ $35, จักรยานยนต์ $30 และราคา $80สำหรับบัตรผ่านรายปี

ประวัติคร่าวๆของที่นี่ Grand Canyon National Park เป็นดินแดนหินผาและหุบเหว ซึ่งหน้าผามีความสูงถึง 1,600 เมตร และหุบเหวยาวถึง 450 กิโลเมตร และกว้างโดยเฉลี่ย 15 กิโลเมตร แกรนด์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทะลายของหินเป็นเวลา 990 ล้านปีมาแล้ว ความใหญ่ความอลังการของที่นี่ อลังการกว่า Horseshoe Band ที่ธีด้าไปมาเมื่อวานมากกกกกก

ด้านล่างหอคอยในรูปคือจุดชมวิวสามรูปก่อนหน้ารูปนี้ ส่วนตรงหอคอยก็เปิดให้ทุกคนได้ขึ้นไปชมวิวด้านบนด้วยเช่นกันค่ะ ข้างในยังมีร้านสำหรับซื้อของที่ระลึกด้วย รวมถึงมีจิตรกรรมฝาผนังให้เราขึ้นไปเก็บภาพด้วนบนได้อีกด้วย

สองรูปนี้ถ่ายที่ด้านบนหอคอยค่ะ

อยู่เที่ยวที่ Grand Canyon National Park ได้สักพักก็ได้เวลาย้ายที่เที่ยวกันแล้วค่ะ ระหว่างทางที่ขับรถออกจากอุทยานธีด้ามองเห็นป้ายข้างทางบอกว่ามีจุดชมวิวเลยแวะดูกันหน่อย
ก็ตามประสาวัยรุ่นที่ยังห่วงเล่นห่วงกิน ตอนที่กระโดดของกินยังอยู่ในมือเราอยู่เลยค่ะ 5555

และที่เที่ยวสุดท้ายของเราในวันนี้ อยู่ไม่ไกลจาก Grand Canyon National Park เลยค่ะ ขับรถแค่ชั่วโมงนิดๆก็มาถึงป้ายทางเข้า Wupatki National Monument และเรายังอยู่ที่รัฐ Arizona ค่ะ

แค่ป้ายทางเข้าก็ทำให้ธีด้าได้รูปมาเพิ่มอีกรูปแล้วล่ะค่ะ แม้อากาศจะค่อนข้างเย็น แต่สู้ตายค่ะ 5555

ทางเข้าไปที่ Wupatki จะเป็นถนนสองเลนส์ผ่าทุ่งหญ้ากว้างสีทองสุดลูกหูลูกตา เรามาถึงที่นี่กันประมาณบ่ายสี่โมงเย็น แสงที่ได้เหมาะกับการถ่ายรูปพอดี เพลินเลยค่ะ ได้รูปเป็นล้านรูป

Wupatki National Monument หรืออนุสรสถานชนเผาอินเดียแดง ซึ่งคำว่า Wupatki เป็นภาษา Hopi หรือภาษาโบราณของชนพื้นเมืองของรัฐ Arizona ตอนเหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชาวอินเดียแดง และ Wupatki มีความหมายว่าบ้านหลังใหญ่ จากรูปภาพ ถ้านั่นคือบ้านจริงๆ ก็ใหญ่จริงๆนั่นแหละค่ะ 555

แว๊นกันต่อมาที่เมือง Flagstaff แห่ง Arizona เป็นเมืองที่ธีด้าขอพี่พี่ที่มาด้วยให้มาพักกันที่นี่ เพราะธีด้าอยากมาพบคุณแม่ของเพื่อนที่ท่านย้ายจากเมืองไทยมาอยู่ที่เมืองนี้ เราจองที่พักผ่าน Booking.com กันเหมือนเคย ค่าห้องประมาณ $70 ไม่รวม Tax และค่า Wifi

วันนี้เราไม่ฝากท้องกับร้าน Junk food อีกต่อไปแล้วค่ะ แต่เรามากินอาหารไทยที่ร้าคุณแม่ของเพื่อนธีด้ากัน ที่อเมริการ้านอาหารไทยเยอะก็จริงนะคะ แต่ที่เป็นไทยแท้ไม่ใช่อาหารไทยแบบที่ทำเพื่อฝรั่งไม่ได้หาง่ายๆเลย ส้มตำปูปลาร้าที่นี่คือฟินมาก อยู่อเมริกามา 9 เดือน อาหารมื้อนี้ฟินที่สุดแล้วล่ะค่ะ
DAY 5

วันที่ 5 ที่เมือง Flagstaff หนาวมากเลยค่ะ เพราะเมืองที่เรามาพักมันเป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา เป็นเมืองสกีรีสอร์ท อากาศเลยหนาวเร็วกว่าเมืองอื่นมาก เช้านี้เวลา 6 โมงมีอุณภูมิแค่ 4-5 องศาเซียลเซียสเท่านั้น
โชคดีที่รถที่อเมริกามีฮีตเตอร์ทุกคัน ธีด้าและเพื่อนเลยรอดปลอดภัยไปเที่ยวต่อได้ที่ Zion National Park รัฐ Utah

ใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงด้านหน้า และตามธรรมเนียมเราต้องถ่ายรูปตัวเองกับป้ายอุทยาน 5555
คำว่า Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ 593 ตร.กม. หรือ 370,625 ไร่ มีสถานที่สำคัญคือ หุบเขาไซออน ซึ่งยาว 15 กิโลเมตร และลึก 800 เมตร

ด้วยความที่ว่าอุทยานแห่งชาติไซออนมันใหญ่มาก ใหญ่มากกว่า Arches National Park สองเท่า! ทำให้การเที่ยวที่อุทยานแห่งนี้จึงเป็นแบบขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ ที่จอดรถให้ถ่ายรูปไม่ค่อยมีเลยค่ะ ที่นี่สวยและอลังการมากก็จริง แต่เพราะต้องอยู่รถตลอดจึงเป็นไปได้อยากมากที่จะเก็บภาพ

แต่พอมีจุดให้จอดรถเราก็ไม่รอช้านะคะ จัดไปอีกร้อยรูป แล้วค่อยเลือกรูปที่ดีที่สุดหนึ่งรูปมาโพส >..<

ระหว่างทางถ้าเห็นลานจอดรถ ตรงนี้จะเป็นจุดที่มีห้องน้ำให้เข้าค่ะ แต่จุดประสงค์หลักของจุดนี้น่าจะเป็นจุดให้นักท่องเที่ยวที่มาปีเขาจอดรถไว้ เพราะจากจุดที่ยืนธีด้าถ่ายรูปอยู่ มองขึ้นไปบนภูเขาหินสีแดงฝรั่งตรงข้าม จะมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาไปตาม Trail

วันนี้เราได้เที่ยวกันที่เดียวก็คือที่นี่ค่ะ เพราะเป็นทางผ่านไปที่รัฐ Wyoming ดังนั้นประมาณบ่ายสองเราก็ออกจากที่ Zion กัน และไปแวะพักที่ Salt Lake city ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Utah และที่พักที่เราไปพักก็ได้มาจากเว็บไซต์ Couchsufing วันนี้พักฟรีอีกหนึ่งวันค่ะ :)
DAY 6

ออกจาก Salt Lake city มุ่งหน้าไปที่ Yellowstone National Park รัฐ Wyoming หรืออุทยานแห่งชาติ Yellowstone จากที่พักมาถึงอุทยานต้องขับรถถึงหกชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะไปถึงธีด้าเห็นวิวข้างทางสวย แน่นอนว่าเหยียบเบรกอย่างเร็วแวะถ่ายรูปด่วนๆ 5555

Yellowstone National Park เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตติดต่อ 3 รัฐได้แก่อ ไวโอมิง มอนทานา และไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีเนื้อที่มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ คือประมาณ 43,750 ตารางไมล์ หรือ 8,992 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,620,000 ไร่

ภายในอุทยานประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และทะเลสาบ เยลโลว์สโตนเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อน มากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน (เป็นแมกมาใต้ดินที่พุ่งออกมา) และน้ำพุร้อน

บ่อน้ำพุร้อนส่วนใหญ่จะมีควันลอยขึ้นมาเล็กน้อย ช่วงที่ธีด้ามาน้ำค่อนข้างแห้งไปแล้วค่ะ แถมบางพื้นที่ยังปิดซ่อมบำรุงด้วย แต่โชคดีที่ยังพอได้รูปดีดีกลับมาอยู่

จุดที่ยังมีไอน้ำประทุก็ยังมีเหมือนกันนะคะ แต่พยายามอย่าเข้าใกล้มากนะคะ เดี๋ยวโดนไอน้ำร้อนกระเด็นลอกผิวเอา

เดินผ่าน อย่าผ่านไปเฉยๆ แชะสักรูปสองรูปสิคะรอไร >()<

นอกจากบ่อน้ำพุร้อนแล้ว ที่อุทยานแห่งชาติ Yellowstone ยังมีพื้นที่สีเขียวที่ยังหลงเหลืออยู่แม้ว่าหิมะจะตก เพราะต้นสนเป็นต้นไม้ที่ใบไม่ร่วงเหมือนต้นไม้ชนิดอื่น ทนอากาศสุดยอด

จุดชมน้ำตกจากบนสะพาน

จุดนี้จะไม่แวะก็คงไม่ได้ เป็นจุดที่ยังอยู่ในเขตพื้นที่อุทยาน ทางไปที่ Jackson city ที่เราจองห้องไว้สำหรับคืนนี้ค่ะ

เว็บไซต์เดิมของเรา ธีด้าเจอห้องที่ราคาถูกสุดของเมืองนี้อยู่ที่ราคา $140 ไม่รวม Tax และ Room Service ที่พักสวยค่ะ อยู่ติดกับลานสกีเลย แต่... มาเดือนตุลาคม อากาศแค่หนาว แต่หิมะยังไม่มีนะ(ที่จริงก็มีหลอมแหลมนิดหน่อย) รูปที่นำมาประกอบเป็นรูปที่ได้จาก Booking.com ค่ะ

ในตัวเมือง Jackson ก็ตามคาดค่ะ สวยมาก แต่อากาศเย็นบัดซบเลย -..-
DAY 7

ตื่นเช้ามาเจออากาศหนาวแบบต้องร้องขอชีวิต(ไม่ได้เตรียมใจว่าอากาศจะหนาวขนาดนี้) อากาศหนาวขนาดที่ว่ามีน้ำแข็งเกาะกระจกรถเรารอบสี่ทิศ ต้องมายืนแซะน้ำแข็งกันยกใหญ่เลยล่ะค่ะ บรรยากาศในเมืองช่วงสายๆมีแดดออกแต่หนาวนะคะ ไม่ได้อุ่นอย่างที่ควรจะเป็น


เมื่อคืนมาถ่ายรูปประตูโค้งนี้ที่ประดับไฟสีชมพูไว้ดูไม่ออกเลยค่ะว่าประตูนี้ทำมาจากเขาสัตว์ พอลองเดินดูรอบๆสวนกลางเมืองแห่งนี้ ก็จะเจอกับเขาสัตว์ที่ทำเป็นรั้วและรูปร่างอื่นๆด้วย แปลกๆดีค่ะเมืองนี้

แว๊นมาที่เที่ยวที่สุดท้ายของทริปนี้ เป็นที่เที่ยวที่พอมาถึงแล้วถึงกับร้อง "ห๊ะ!?" แค่นี้หรอ - -
เพราะมันไม่ได้มี Trail หรืออะไรให้เดินดู แต่มันคือจุดชมวิวที่ให้มองรอบๆตัวเรานี่แหละค่ะ ก็สวยดีค่ะ แต่มันน้อยไป เทียบกับที่ผ่านมามันก็ว๊าวน้อยที่สุด

แนะนำให้พยายามจอดข้างทางบ่อยๆนะคะ คนขับรถตาต้องเร็ว มองเห็นจุดไหนสวย เหยียบเบรกเลยค่ะ

สองข้างทางที่รัฐ Wyoming ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนชอบดูวิวที่จุดชมวิวเลยค่ะ เพราะจอดได้บ่อยและเพลินมาก ได้รูปมาอีกเป็นร้อย

และแน่นอนว่าจาก Jackson city รัฐ Wyoming ไปที่เมือง Westminster รัฐ Colorado ระยะทางไกลมาก จึงไม่สามารถกลับไปถึงได้ภายในวันนี้ ดังนั้นธีด้าและเพื่อนจึงต้องแวะนอนพักกันช่วงค่ำ นอน Motel 6 เหมือนเดิมค่ะ ตื่นเช้าวันที่ 8 เดินทางต่ออีกครึ่งวันก็ถึงบ้านสักที
コメント